วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2557

15 ปุ่มลัดบนคีย์บอร์ด เพิ่มความไวในการใช้คอมพ์

15 ปุ่มลัดบนคีย์บอร์ด เพิ่มความไวในการใช้คอมพ์


15 ปุ่มลัดบนคีย์บอร์ด เพิ่มความไวในการใช้คอมพ์
 
          คุณรู้ไหมครับว่า ปุ่มต่าง ๆ บนคีย์บอร์ดของคอมพิวเตอร์นั้น ที่มีอยู่เยอะแยะมากมายเต็มไปหมดนั้น มีประโยชน์และวีธีการใช้งานซ่อนเอาไว้มากมาย ซึ่งหากคุณได้รู้ถึงข้อดีของปุ่มต่าง ๆ เหล่านี้แล้วล่ะก็ รับรองได้เลยว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้คอมพิวเตอร์ของคุณได้ดีมากขึ้นอย่างแน่นอน
          ด้วยเหตุนี้เอง เว็บไซต์ Mashable.com จึงได้รวบรวมเอาปุ่มลัดสำคัญ ๆ ที่ใช้งานกันอยู่บ่อยครั้ง มาให้ได้นำไปใช้กัน ลองมาทำความรู้จักกับคุณสมบัติเฉพาะตัวของปุ่มลัดเหล่านี้กันดีกว่า เพื่อว่าคราวต่อไปคุณจะได้ใช้ประโยชน์กับมันได้มากขึ้น จะมีปุ่มลัดใดบ้าง และทำประโยชน์อย่างไร มาดูกันเลย...


เลื่อนลูกศรไปมา  >> Ctrl + ลูกศรซ้าย + ลูกศรขวา
1. เลื่อนลูกศรไปมา  >> Ctrl + ลูกศรซ้าย + ลูกศรขวา
Ads by FlashFree(?)Hide ads
          เลื่อนลูกศรไปมาได้ง่าย ๆ แถมเลื่อนไปเป็นคำ ๆ อีกด้วย เหมาะสำหรับการแก้คำทั้งลบทั้งเพิ่มในระหว่างข้อความได้เป็นอย่างดี


คลิกคลุมคำในข้อความ  >> Ctrl + Shift + ลูกศรซ้าย หรือ ลูกศรขวา
2. คลิกคลุมคำในข้อความ  >> Ctrl + Shift + ลูกศรซ้าย หรือ ลูกศรขวา
          ไม่ต้องใช้เม้าส์คลิกคลุมข้อความให้ปวดนิ้วแต่อย่างใด ปุ่มลัดนี้จะทำหน้าที่ในส่วนนั้น โดยจะเลือกคลุมเป็นคำ ๆ ไปได้อย่างง่าย ๆ


ลบคำผิด  >> Ctrl + Backspace
3. ลบคำผิด  >> Ctrl + Backspace
          เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงเคยพิมพ์ข้อความต่าง ๆ แบบผิด ๆ ถูก ๆ ตกคำนั้น ขาดคำนี้ กันอยู่บ้าง ปุ่มลัดนี้ จะช่วยลบข้อความนั้น ๆ ของคุณ เพื่อให้คุณได้พิมพ์ใหม่ให้ถูกต้องต่อไป


คลุมข้อความหรือประโยค  >>  Shift + Home หรือ End
4. คลุมข้อความหรือประโยค  >>  Shift + Home หรือ End
Ads by FlashFree(?)Hide ads
          ไม่ต้องใช้เม้าส์ลากคลุมข้อความหรือประโยคที่ต้องการให้ยุ่งยากอีกต่อไป ปุ่มลัดนี้จะทำหน้าที่ในส่วนนั้นแทนให้เอง เพียงเท่านี้ก็หมดปัญหาอย่างเช่น การคลุมข้อความมาไม่ครบถ้วน


ย่อหน้าเบราว์เซอร์ทั้งหมด  >>  Menu + M
5. ย่อหน้าเบราว์เซอร์ทั้งหมด  >>  Menu + M
          ปุ่มนี้มีไว้ใช้สำหรับย่อหน้าเบราว์เซอร์ให้มีขนาดเล็กที่สุด เรียกได้ว่าหากคุณแอบเล่นเฟซบุ๊กหรือเกมในที่ทำงานแล้วล่ะก็ สองปุ่มนี้ล่ะ ช่วยหลบจากหัวหน้าของคุณได้แน่นอน


เรียกเปิดเบราว์เซอร์ที่ปิดไว้  >>  Menu + Tab
6. เรียกเปิดเบราว์เซอร์ที่ปิดไว้  >>  Menu + Tab
          ในการใช้คอมพ์แต่ละครั้งแน่นอนว่าจะต้องมีการเปิดเบราว์เซอร์ต่าง ๆ ไว้มากมาย ดังนั้นปุ่มลัดนี้จึงเหมาะมาก ๆ สำหรับการเรียกเปิดเบราว์เซอร์ต่าง ๆ โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาใช้เม้าส์คลิกแต่อย่างใด


ล็อกเครื่อง  >>  Menu + L
7. ล็อกเครื่อง  >>  Menu + L 
Ads by FlashFree(?)Hide ads
          เมื่อไหร่ก็ตามที่ไม่ได้ใช้งานคอมพิวเตอร์ เช่น ออกไปพักกลางวัน หรือไม่อยู่หน้าคอมพ์เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ล็อกเครื่องไว้ เพื่อความปลอดภัยป้องกันไม่ให้ผู้อื่นมาใช้คอมพิวเตอร์ของคุณได้


เปิดหน้า Task Manager  >>  Ctrl + Shift + Esc
8. เปิดหน้า Task MANAGER  >>  Ctrl + Shift + Esc
          แอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ที่คุณเปิดมีปัญหาหรือไม่ อยากจะเช็คหาสาเหตุใช่หรือเปล่า ทั้งสามปุ่มนี้จะลัดเข้าสู่หน้า Task MANAGER เพื่อดูรายละเอียดข้อมูลของหน้าแอพฯ ที่เปิดได้อย่างฉับไว


บันทึกหรือจับภาพหน้าเว็บ  >>  Alt + Print Screen
9. บันทึกหรือจับภาพหน้าเว็บ  >>  Alt + Print Screen
          ในการเข้าดูเว็บไซต์ต่าง ๆ คงมีหลายครั้งที่อยากจะ Save หรือ Capture หน้าเว็บนั้น ๆ เก็บเอาไว้ได้ ดังนั้นแล้วทั้งสองปุ่มนี้ ก็จะช่วยตอบโจทย์ส่วนนี้ได้เป็นอย่างดี


เปลี่ยนชื่อไฟล์  >> ไฟล์ที่จะเปลี่ยนชื่อ + F2
10. เปลี่ยนชื่อไฟล์  >> ไฟล์ที่จะเปลี่ยนชื่อ + F2
Ads by FlashFree(?)Hide ads
          ถ้าคลิกขวาที่เม้าส์เพื่อต้องการเปลี่ยนชื่อไฟล์ แต่คลิกขวาเจ้ากรรมดันไม่ตอบสนองล่ะก็ ให้ลองใช้วิธีที่ง่ายแบบนี้ดู สามารถใช้แทนกันได้ไม่มีปัญหา


ขยายภาพเข้า - ออก  >> Ctrl + Mouse's Scroll
11. ขยายภาพเข้า - ออก  >> Ctrl + Mouse's Scroll
          หากคุณเปิดภาพขึ้นมาสักภาพหนึ่งแล้วต้องการจะขยายดูภาพนั้นอย่างละเอียดแล้วล่ะก็ ปุ่มลัดนี้จะช่วยให้ขยายภาพเข้า - ออก ได้ดีมากขึ้น เหมาะกับการใช้งานโปรแกรมต่าง ๆ เช่น "Word Processors" หรือ "Photoshop" มาก ๆ


ดูภาพในขนาดปกติ  >> Ctrl + 0
12. ดูภาพในขนาดปกติ  >> Ctrl + 0
          สองปุ่มนี้ใช้สำหรับการย้อนกลับไปดูภาพในขนาดปกติ หลังจากที่คุณขยายภาพเข้า - ออกไปแล้ว ถือเป็นวิธีที่ทำได้ง่ายดายมาก ๆ


เปิดแท็บในเบราว์เซอร์ใหม่  >> Ctrl + T
13. เปิดแท็บในเบราว์เซอร์ใหม่  >> Ctrl + T
          ถือว่าเป็นอีกหนึ่งปุ่มลัดที่น้อยคนนักจะจำได้ ปุ่มลัดนี้จะช่วยเปิดแท็บใหม่ได้อย่างง่าย ๆ โดยไม่ต้องเอื้อมมือไปคลิกเม้าส์ให้เสียเวลาแต่อย่างใด


เรียกหน้าแท็บที่ปิด  >> Ctrl + Shift + T
14. เรียกหน้าแท็บที่ปิด  >> Ctrl + Shift + T
          ถ้าคุณบังเอิญเผลอไปคลิกปุ่มปิดแท็บ ที่ใช้งานโดยที่ไม่ได้ตั้งใจแล้วล่ะก็ ไม่ต้องตกใจแต่อย่างใด คุณสามารถเรียกหน้าแท็บนั้นกลับมาได้ด้วยสามปุ่มนี้

ไฮไลท์ลิงก์ที่ใช้  >> Ctrl + L

15. ไฮไลท์ลิงก์ที่ใช้  >> Ctrl + L
          ถ้าคุณต้องการไฮไลท์ลิงก์ที่เปิดอยู่ล่าสุด ให้ใช้ทั้งสองปุ่มนี้ จะทำให้คลุมลิงก์เพื่อก็อปปี้นำไปใช้ต่อได้อย่างง่ายดาย

ที่มา : http://hilight.kapook.com/view/60817

การเรียนรู้ด้วยคอมพิวเตอร์ช่วยสอน : CAI


การเรียนรู้ด้วยคอมพิวเตอร์ช่วยสอน : CAI


ปัจจุบันพบว่า มีความสับสนในด้านเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาในหลากหลายด้าน อาทิ ในเรื่องของนวัตกรรมทางการศึกษา มีความสับสนกันระหว่าง ระบบและวิธีการเรียนรู้ (Systems approach to learning) กับสื่อการเรียนรู้ (Media for learning) นักการศึกษาหลายรายมองเห็น คอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีสถานะเพียงแค่ สื่อ ซึ่งแท้จริงแล้ว คอมพิวเตอร์ช่วยสอน(CAI) ซึ่งชื่อก็บอกชัดเจนว่าช่วยในการสอน จึงเป็นมากกว่าสื่อ จะถือได้ว่า คอมพิวเตอร์ช่วยสอนนั้น คือ ระบบการเรียนรู้



คอมพิวเตอร์ช่วยสอน หรือที่รู้จักในชื่อของ CAI (Computer Assisted Instruction) เป็น นวัตกรรมที่อยู่ในรูปของระบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง และอยู่ในลักษณะสื่อการเรียนการสอนด้วยเช่นกัน คอมพิวเตอร์ช่วยสอนจัดเป็นนวัตกรรมที่เกิดขึ้นมานาน มากกว่า 20 ปี ที่ครั้งหนึ่งถือได้ว่าเป็นนวัตกรรมที่เฟื่องฟูมากๆ ในวงการศึกษาโดยเฉพาะครู รวมถึงวงการธุรกิจเพื่อการพัฒนาบุคลากรภายในองค์กร ในยุคนั้นถือได้ว่า CAI เป็นสื่อที่อยู่ในรูปของ CD-Rom Based System การสร้างชุดคอมพิวเตอร์ช่วยสอนในระยะแรก เป็นการพัฒนาจากโปรแกรมทางภาษา และจากโปรแกรมสำเร็จรูปต่างๆ (โปรแกรม Authorware, Director, ToolBook หรือแม้กระทั่งโปรแกรม Flash) แม้ว่า CAI เต็มระบบจริงๆ จะดูเหมือนตายไปจากวงการศึกษา แต่ CAI ที่อยู่ในลักษณะสื่อเรียนรู้เฉพาะเนื้อหาสั้นๆขนาดเล็ก หรือที่เรียกว่า หน่วยความรู้เฉพาะเรื่อง(learning object) ยังคงมีผู้สร้างนำมาใช้ในการจัดการเรียนรู้ ซึ่งสามารถศึกษาเรียนรู้เรื่อง learning object 

ส่วนโปรแกรมพัฒนาด้านคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ท่านสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ จากเว็บไซต์ผู้ผลิตด้านล่าง
Adobe Authorware จัดเป็นโปรแกรมประเภท Authoring System ที่ใช้ ในการสร้างสื่อบทเรียน ช่วยสอนที่สมบูรณ์ที่สุด ผู้สร้างสามารถเรียบเรียงวางชิ้นส่วนบนเส้นสร้างงานได้อย่างอิสระ สามารถนำไปสร้างสรรงานนำเสนอประสิทธิภาพสูง รองรับการสร้างงานลักษณะ Multimidia มีทั่งภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียงเพลง เสียงอธิบาย Sound Effect และสามารถโต้ตอบกับผู้ใช้โปรแกรมได้ หลายรูปแบบ ซึ่งจากคุณสมบัติดังกล่าว สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างกว้างขวาง แม้ว่าปัจจุบัน Authorware จะขาดการพัฒนามานาน คงอยู่ที่เวอร์ชั่น 7 แต่ก็ถือได้ว่าเป็นโปรแกรมที่ตอบสนองการพัฒนาสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่ได้มาตรฐาน SCORM ที่ดีที่สุดโปรแกรมหนึ่ง
Adobe Director เป็นโปรแกรมสร้างมัลติมีเดียที่มีประสิทธิภาพสูง ที่ได้รับการยอมรับว่า เป็นโปรแกรมที่รองรับชิ้นส่วนของสื่อที่หลากหลายนำเข้ามาแสดงผลได้อย่างลงตัว และใช้งานร่วมกันได้เป็น อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นไฟล์ภาพ ประเภทต่างๆทั้ง vector และ bitmap สนับสนุน มัลติมีเดียได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็น Windows Media, RealMedia, QuickTime, Flash รวมถึงการเข้าถึงข้อมูล DVD-Video ได้ อีกด้วย สร้างสรรงานได้ดี อย่างไร้ขีดจำกัด ด้วยการใช้ภาษา JavaScript และ ภาษา Lingo อันเป็นคุณสมบัติเฉพาะของ Director เอง ผลงานที่ได้สามารถ deploy ลง บน CD-R, DVD หรือ Intranet ภายในองค์กร หรือจะทำการเผย แพร่ไปสู่ website ที่มีผู้ใช้งานไฟล์ของ director นี้มากกว่า 300 ล้านรายทั่ว โลกในรูปแบบ Shockwave Player


Adobe Flash เป็นโปรแกรมที่มีความสามารถในด้านการสร้างภาพเคลื่อนไหว ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน เป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัท Adobe (เดิมคือ Macromedia ค่ายเดียวกับ Authorware) ซึ่งได้พัฒนาปรับปรุงเครื่องมือต่างๆ ให้มีความสามารถใช้งานได้สะดวก สามารถใช้ผลิตสื่อการสอนเชิงโต้ตอบ (Interactive), สื่อ Presentation, เกม, แบบทดสอบ, e-book, website, Streaming Video, ฐานข้อมูล, งานกราฟิก และสร้างภาพเคลื่อนไหว หรือแม้แต่ภาพยนตร์การ์ตูนเอนิเมชั่น



Toolbook เป็นโปรแกรมสำเร็จรูปตัวหนึ่งที่ใช้สำหรับพัฒนา คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ที่ดีอีกโปรแกรม ลักษณะเฉพาะเป็นโปรแกรมมีความยืดหยุ่น สามารถดำเนินเรื่องราวได้ตามที่ได้วางแผนไว้ รองรับการใช้ภาษาคำสั่งเฉพาะในแต่ละวัตถุที่ หน้าแสดงผล (Page) หรือพื้นหลัง นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างพร้อมใช้ (Widgets) เพื่อช่วยในการสร้างงาน และแบบฝึกหัดในรูปแบบต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ปัจจุบัน ToolBook ได้พัฒนาให้สามารถบันทึกไฟล์ในรูปแบบ HTML เพื่อแสดงผลทางอินเทอร์เน็ตได้เป็นอย่างดี และยังสามารถสร้างสื่อนำเสนอ(Presentations)ได้น่าสนใจอีกด้วย


Adobe Captivate เป็นอีกโปรแกรมในการสร้างสื่อการเรียนการสอนที่สนองต่อ กระบวนการพัฒนาสื่อที่ดีอีกโปรแกรมหนึ่ง รองรับการพัฒนาสื่อแบบมัลติมีเดีย ด้วย animation เช่นเดียวกับ Adobe flash ลักษณะที่สำคัญมีชุดสร้างสรรงานที่สามารถกำหนดการโต้ตอบ(คล้ายคลึง CourseBuilder และ Authorware)กับผู้ใช้งานได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้ยังรองรับการสร้างสื่อจำลองสถานการณ์ แบบ simulation การสร้างแบบทดสอบหลากหลายแบบตามมาตรฐาน SCORM การสร้างสื่อจากสื่อนำเสนอ powerpoint และยังสามารถสร้างสรรงานได้อีก หลายรูปแบบ ถือได้ว่าเป็นโปรแกรมที่สร้างงานค่อนข้างง่าย เป็นอีกโปรแกรมที่มีผู้นำไปพัฒนา Learning Object สื่อการเรียนรู้ของทศวรรษนี้


นอกจากโปรแกรมดังที่กล่าวในข้างต้น ยังมีอีกหลายโปรแกรมที่ถูกผลิต พัฒนามาให้นักพัฒนาสื่อได้เลือกใช้ ซึ่งท่านสามารถ ศึกษาเพิ่มเติมจากเว็บไซต์ หรือ นิตยสารด้านคอมพิวเตอร์ทั่วๆไป สำหรับผู้ที่คิดจะพัฒนาสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน นอกจากจะต้องมีทักษะ ในการออกแบบสื่อเพื่อการเรียนรู้แล้ว ยังต้องเป็นผู้มีความรู้ ความเข้าใจในการใช้โปรแกรม หรือภาษาคำสั่งเป็นอย่างดี

ความหมายของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
สำหรับคำ ความหมายของคำว่าคอมพิวเตอร์ช่วยสอน นักการศึกษาได้ให้ความหมายไว้หลากหลายดังนี้

+ คอมพิวเตอร์ช่วยสอนหรือโปรแกรมช่วยสอน คือสื่อที่ใช้ในการเรียนการสอนอันหนึ่ง CAI คล้ายกับ สื่อการสอนอื่น ๆ เช่น วิดีโอช่วยสอน บัตรคำช่วยสอน โปสเตอร์ แต่คอมพิวเตอร์ช่วยสอนจะดีกว่าตรงที่ตัวสื่อการสอน ซึ่งก็คือคอมพิวเตอร์นั้น สามารถโต้ตอบกับนักเรียนได้ ไม่ว่าจะเป็นการรับคำสั่งเพื่อมาปฏิบัติ ตอบคำถามหรือไม่เช่นนั้นคอมพิวเตอร์ก็จะเป็นฝ่ายป้อนคำถาม (นัยนา เอกบูรณวัฒน์, 2539)

+  คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI : Computer Assisted Instruction) หมายถึง การประยุกต์นำคอมพิวเตอร์มาช่วยในการเรียนการสอน โดยมีการพัฒนาโปรแกรมขึ้น เพื่อนำเสนอเนื้อหาในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การเสนอแบบติวเตอร์ (Tutorial) แบบจำลองสถานการณ์ (Simulations) หรือแบบการแก้ไขปัญหา (Problem Solving) เป็นต้น การเสนอเนื้อหาดังกล่าวเป็นการเสนอโดยตรง ไปยังผู้เรียนผ่านทางจอภาพหรือแป้นพิมพ์ โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วม วัสดุทางการสอนคือโปรแกรมหรือ Courseware ซึ่งปกติจะถูกจัดเก็บไว้ในแผ่นดิสก์หรือหน่วยความจำของเครื่องพร้อมที่จะเรียกใช้ได้ตลอดเวลา การเรียนในลักษณะนี้ ในบางครั้งผู้เรียนจะต้องโต้ตอบ หรือตอบคำถามเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยการพิมพ์ การตอบคำถามจะถูกประเมินโดยคอมพิวเตอร์ และจะเสนอแนะขั้นตอนหรือระดับในการเรียนขั้นต่อ ๆ ไป กระบวนการเหล่านี้เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นระหว่างผู้เรียนกับคอมพิวเตอร์ (ศิริชัย สงวนแก้ว, 2534)
+  คอมพิวเตอร์ช่วยสอนหรือ CAI คือ การนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการเรียนการสอนโดยใช้โปรแกรมการเรียน การเรียนการสอนที่ผ่านคอมพิวเตอร์ประเภทใดก็ตาม กล่าวได้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์ช่วยสอนหรือ CAI มีคำที่ใช้ในความหมายเดียวกันกับ CAI ได้แก่ Computer-Assisted Learning (CAL) , Computer-aided Instruction (CaI) , Computer-aided Learning (CaL) เป็นต้น (Hannafin & Peck, 1988)

+  คอมพิวเตอร์ช่วยสอน หรือบทเรียนซีเอไอ (Computer-Assisted Instruction; Computer-Aided Instruction : CAI) คือ การจัดโปรแกรมเพื่อการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์ เป็นสื่อช่วยถ่ายโยงเนื้อหาความรู้ไปสู่ผู้เรียน และปัจจุบันได้มีการบัญญัติศัพท์ที่ใช้เรียกสื่อชนิดนี้ว่า “คอมพิวเตอร์ช่วยการสอน” (วุฒิชัย ประสารสอน, 2543)

จากความดังกล่าว สามารถสรุปความหมายของ “คอมพิวเตอร์ช่วยสอน” หรือ CAI คือ การนำคอมพิวเตอร์ มาเป็นเครื่องมือสร้างให้เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ผู้เรียนนำไปเรียนด้วยตนเองและเกิดการเรียนรู้ ในโปรแกรมประกอบไปด้วย เนื้อหาวิชา แบบฝึกหัด แบบทดสอบ ลักษณะของการนำเสนอ อาจมีทั้งตัวหนังสือ ภาพกราฟิก ภาพเคลื่อนไหว สีหรือเสียง เพื่อดึงดูดให้ผู้เรียนเกิดความสนใจมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการแสดงผลการเรียนให้ทราบทันทีด้วยข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) แก่ผู้เรียน และยังมีการจัดลำดับวิธีการสอนหรือกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้เหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละคน ทั้งนี้จะต้องมีการวางแผนการในการผลิตอย่างเป็นระบบในการนำเสนอเนื้อหาในรูปแบบที่แตกต่างกัน

นอกจากนั้น คอมพิวเตอร์ช่วยสอนเองยังมีลักษณะที่เรียกว่า “บทเรียนสำเร็จรูป” แต่เป็นบทเรียนสำเร็จรูปโดยการใช้ไมโครคอมพิวเตอร์เป็นตัวกลางแทนสิ่งพิมพ์หรือสื่อประเภทต่าง ๆ ทำให้บทเรียนสำเร็จรูปในคอมพิวเตอร์มีศักยภาพเหนือกว่าบทเรียนสำเร็จรูปในรูปแบบอื่น ๆ ทั้งหมดโดยเฉพาะมีความสามารถที่เกือบจะแทนครูที่เป็นมนุษย์ได้ มีขั้นตอนการสร้าง และการพัฒนาบทเรียนเช่นเดียวกับบทเรียนสำเร็จรูปประเภทอื่น ๆ (ไพโรจน์ ตีรณธนากุล, 2528) 

จากลักษณะของสื่อที่เป็น “บทเรียนสำเร็จรูป” และสื่อที่เป็น “คอมพิวเตอร์ช่วยสอน” จึงสามารถสรุปเป็นความหมายของ “บทเรียนสำเร็จรูปคอมพิวเตอร์การสอน” (Computer Instruction Package :CI Package ) ว่าหมายถึง บทเรียนสำเร็จรูปที่สร้างขึ้นในลักษณะซอฟต์แวร์สำเร็จรูป (Package Software) นำไปสอน (Instruction) เนื้อหาใหม่ โดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในการเรียนการสอนบทเรียน หรือนำเสนอบทเรียน ผู้เรียนสามารถเรียนด้วยตนเองได้ตามระดับความสามารถของตนเอง ในบทเรียนมีแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เพื่อทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน จุดเด่นที่สำคัญของบทเรียน คือ การนำเสนอเนื้อหาในลักษณะหลายสื่อ (Multimedia) ได้แก่ประเภท ข้อความ (Text) รูปภาพ (Image) ภาพเคลื่อนไหว (Animation) ภาพวิดีโอ (Video) และเสียง (Audio) โดยที่ผู้เรียนจะมีโอกาสได้ปฏิสัมพันธ์ (Interactive) กับบทเรียนโดยผ่านเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ได้ตลอดเวลา (ศิริชัย นามบุรี, 2542)
คำภาษาอังกฤษที่ใช้เรียก คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ได้แก่ 
Computer Assisted Instruction (CAI), 
Computer Aided Instruction (CAI), 
Computer Assisted Learning (CAL), 
Computer Aided Learning (CAL), 
Computer Based Instruction (CBI), 
Computer Based Training (CBT),
Computer Administered Education (CAE) , 
Computer Aided Teaching (CAT) 
แต่คำที่นิยมใช้ทั่วไปในปัจจุบัน 
Computer Assisted Instruction หรือ CAI



ลักษณะเฉพาะที่สำคัญ
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) เป็นรูปแบบการเรียนการสอนแบบรายบุคคล ที่นำเอาหลักการของบทเรียนโปรแกรมและ เครื่องช่วยสอนมาผสมผสานกัน รูปแบบของสื่อ ถูกออกแบบให้ทำงานภายใต้ทรัพยากร ของเครื่องคอมพิวเตอร์โดยตรง ข้อมูลการเรียนรู้ จะอยู่ในรูปของไฟล์ข้อมูลที่นำมาลง หรือติดตั้ง ลงบนเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือ อาจจะเล่นบนแผ่น CD-Rom/DVD โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะตอบสนอง ในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล ของผู้เรียนเป็นหลัก เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางการศึกษาเป็นรายบุคคล
โดยมีคุณลักษณะองค์ประกอบที่สำคัญ แบ่งเป็น
+ การนำเข้าสู่บทเรียน
+ การนำเสนอสาระเนื้อหา
+ การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างโปรแกรมกับผู้เรียนรู้ 
+ การทดสอบประเมินผล

คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) นับเป็นกระบวนการเรียนรู้ โดยยึดหลักการที่สำคัญที่เรียกว่า 4 Is อันได้แก่
1. Information คือ ความเป็นสารสนเทศในตัวเอง
2. Interactive การมีปฎิสัมพันธ์กับผู้เรียน 
3. Individual คือ การเรียนรู้ด้วยตนเอง
4. Interactive คือ การตอบสนองโดยทันที




ประเภทของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน แบ่งไปตามลักษณะวิธีการนำเสนอเนื้อหา
มีผู้แบ่งประเภทคอมพิวเตอร์ช่วยสอนไว้หลากหลาย บ้างก็ 5 แบบ 7 แบบ ซึ่งก้แตกต่างกันบ้าง คล้ายกันบ้าง ซึ่งในเรื่องประเภทของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ไพโรจน์ ตีรณธนากุล และไพบูลย์ เกียรติโกมล ได้แบ่งตามลักษณะของวิธีการนำเสนอเนื้อหาและกระบวนการเรียนการสอน เป็น 8 ประเภท ดังนี้

1. แบบการสอน (Instruction)เพื่อใช้สอนความรู้ใหม่แทนครู ซึ่งจะเป็นการพัฒนาแบบ Self Study Package เป็นรูปแบบของการศึกษาด้วยตนเอง จะเป็นชุดการสอนที่จะต้องใช้ความระมัดระวัง และทักษะในการพัฒนาที่สูงมาก เพราะจะยากเป็นทวีคูณกว่าการพัฒนาชุดการสอนแบบโมดูลหรือแบบโปรแกรมที่เป็นตำรา ซึ่งคาดว่าจะมีบทบาทมากในอนาคตอันใกล้นี้ โดยเฉพาะ IMMCAI :Interaction Multi Media CAI บน Internet

2. แบบสอนเสริมหรือทบทวน (Tutorial)เป็นบทเรียนเพื่อทบทวนการเรียนจากห้องเรียนหรือจากผู้สอนโดยวิธีใด ๆ จากทางไกล หรือทางใกล้ก็ตาม การเรียนมักจะไม่ใช่ความรู้ ใหม่ หากแต่จะเป็นความรู้ที่เคยได้รับมาแล้วในรูปแบบอื่น ๆแล้วใช้บทเรียนซ่อมเสริมเพื่อตอกย้ำ ความเข้าใจที่ถูกต้องและสมบูรณ์ดีขึ้น สามารถใช้ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน ดังนั้น CAI ประเภทนี้จึงไม่สามารถนำมาสอนแทนครูได้ทั้งหมด เพียงแต่นำมาใช้สอนเสริมหรือใช้ทบทวนในรายวิชาที่มีการจัดการเรียนการสอนมาแล้วในชั้นเรียนปกติ

3. แบบฝึกหัดและฝึกปฏิบัติ (Drill and Practice)
เพื่อใช้เสริมการปฏิบัติหรือเสริมทักษะ กระทำบางอย่างให้เข้าใจยิ่งขึ้นและเกิดทักษะที่ต้องการได้ เป็นการเสริมประสิทธิผลการเรียนของผู้เรียน สามารถใช้ในห้องเรียน เสริมขณะที่สอนหรือนอกห้องเรียน ณ ที่ใด เวลาใดก็ได้ สามารถใช้ฝึกหัดทั้งทางด้านทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ รวมทั้งทางช่างอุตสาหกรรมด้วย
4. แบบสร้างสถานการณ์จำลอง (Simulation) เพื่อใช้สำหรับการเรียนรู้ หรือทดลองจากสถานการณ์ที่จำลองจากสถานการณ์จริง ซึ่งอาจจะหาไม่ได้หรืออยู่ไกล ไม่สามารถนำเข้ามาในห้องเรียนได้ หรือมีสภาพอันตราย หรืออาจสิ้นเปลืองมากที่ต้องใช้ของจริงซ้ำ ๆ สามารถใช้สาธิตประกอบการสอน ใช้เสริมการสอนในห้องเรียน หรือใช้ซ่อมเสริมภายหลังการเรียนนอกห้องเรียน ที่ได้ เวลาใด ก็ได้

5. แบบสร้างเป็นเกม (Game) การเรียนรู้บางเรื่อง บางระดับ บางครั้ง การพัฒนาเป็นลักษณะเกม สามารถเสริมการเรียนรู้ได้ดีกว่า การใช้เกมเพื่อการเรียน สามารถใช้สำหรับการเรียนรู้ความรู้ใหม่หรือเสริมการเรียนในห้องเรียนก็ได้ รวมทั้งสามารถสอนทดแทนครูในบางเรื่องได้ด้วย จะเป็นการเรียนรู้จากความเพลิดเพลิน เหมาะสำหรับผู้เรียนที่มีระยะเวลาความสนใจสั้น เช่น เด็ก หรือในภาวะสภาพแวดล้อมที่ไม่อำนวย เป็นต้น

6. แบบการแก้ปัญหา (Problem Solving)เป็นการฝึกการคิด การตัดสินใจ สามารถใช้กับวิชาการต่างๆ ที่ต้องการให้สามารถคิดแก้ปัญหา ใช้เพื่อเสริมการสอนในห้องเรียน หรือใช้ในการฝึกทั่วๆไป นอกห้องเรียนก็ได้ เป็นสื่อสำหรับการฝึกผู้บริหารได้ดี

7. แบบทดสอบ (Test) เพื่อใช้สำหรับตรวจวัดความสามารถของผู้เรียน สามารถใช้ประกอบการสอนในห้องเรียน หรือใช้ตามความต้องการของครู หรือของผู้เรียนเอง รวมทั้งสามารถใช้นอกห้องเรียน เพื่อตรวจวัดความสามารถของตนเองได้ด้วย

8. แบบสร้างสถานการณ์เพื่อให้ค้นพบ (Discovery) เป็นการจัดทำเพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ จากประสบการณ์ของตนเอง โดยการลองผิดลองถูก หรือเป็นการจัดระบบ นำล่องเพื่อชี้นำสู่การเรียนรู้ สามารถใช้เรียนรู้ความรู้ใหม่หรือเป็นการทบทวนความรู้เดิม และใช้ ประกอบการสอนในห้องเรียนหรือการเรียนนอกห้องเรียน สถานที่ใด เวลาใด ก็ได้
(ไพโรจน์ ตีรณธนากุล และไพบูลย์ เกียรติโกมล, 2539)


ประเภทของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน แบ่งไปตามจุดประสงค์การสร้าง รูปแบบจะเหมือนกับการออกแบบ บทเรียนโปรแกรม เพียงแต่ CAI สามารถที่จะก้าวข้มไปได้รวดเร็ว สามารถมีปฏิสัมพัธ์กับผู้เรียนทันทีทันใด และสามารถคำนวน กำหนดเส้นทางให้ผู้เรียน ศึกษาเรียนรู้เนื้อหา ไปตามโครงสร้าง เงื่อนไขของความรู้ โดยอัตโนมัติ โดยมีรูปแบบ 3 รูปแบบ คือ

1. บทเรียนสำเร็จรูปแบบเส้นตรง (linear program) 
บทเรียนชนิดนี้ มีลักษณะที่เรียบง่าย มีการเรียงลำดับเนื้อหา โดยผู้เรียนต้องเริ่มเรียนตั้งแต่เรื่องแรก สาระแรก และกิจกรรมแรก เรียงไปจนครบ ซึ่งผู้เรียนจะไม่สามารถข้ามลำดับเนื้อหาได้ บทเรียนสำเร็จรูปแบบนี้ ออกแบบง่าย ไม่ยุ่งยาก   แต่บทเรียนแบบเส้นตรงจะไม่สนองต่อผู้เรียนที่มีความรู้ความเข้าใจเนื้อหาบางส่วน จึงไม่สามารถก้าวข้ามเนื้อหาได้

ลักษณะของการเรียนบทเรียนเป็นแบบให้ความรู้ แล้วติดตามด้วยกิจกรรมตอบคำถาม หากผู้เรียนตอบผิดในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาใด จะถูกกำหนดให้ย้อนกับไปทบทวนหรือศึกษาในเนื้อหานั้นๆก่อน จนกว่าจะสามารถตอบคำถามได้ถูกต้อง จึงจะมีสิทธิ์ไปศึกษาเรียนรู้ในเนื้อหาถัดไปได้
บทเรียนแบบเส้นตรงเหมาะสำหรับการเรียนรู้ที่ต้องใช้ความจำ ความเข้าใจ เป็นหลัก ไม่เหมาะกับการเรียนรู้แบบความเข้าใจ


2. บทเรียนสำเร็จรูปแบบสาขา (branching program) 
เป็นบทเรียนที่มีการจัดเนื้อหาเป็นส่วนๆ เช่นเดียวกับแบบเส้นตรง แต่จะทำการออกแบบลำดับเนื้อหา พร้อมตรวจสอบความเข้าใจของผู้เรียน หากผู้เรียนสามารถทำกิจกรรมผ่าน ก็จะมีคำสั่งให้ผู้เรียนไปศึกษาในเนื้อหาถัดไป หรือข้ามเนื้อหาบางเรื่องไป  แต่ถ้าผู้เรียนยังสับสน ไม่เข้าใจเนื้อหาพื้นฐาน ก็จะกำหนดให้ไปศึกษายังจุดที่เป็นสาระพื้นฐาน   หรือหากผู้เรียนไม่เข้าใจในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งก็จะกำหนดให้ไปศึกษาเฉพาะเรื่องนั้นๆ

บทเรียนแบบสาขาจะสนองต่อผู้เรียนที่มีพื้นความรู้ดี หรือมีพื้นความรู้เดิมในเรื่องที่กำลังศึกษา หากผู้ออกแบบบทเรียนได้ทำการออกแบบให้ยืดหยุ่น รองรับการข้ามเนื้อหาเมื่อผ่านการทดสอบอย่างอิสระแล้ว บทเรียนลักษณะนี้ จะตอบสนองกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนได้หลากหลายระดับสติปัญญา

ลักษณะของการเรียนบทเรียนเป็นแบบให้ความรู้ ในแต่ละเรื่องแล้วทำกิจกรรมเช่นเดียวกับแบบเส้นตรง เพียงแต่ผู้เรียนมีสิทธิที่จะไม่เรียนในบางเรื่องที่มีความรู้แล้ว มีสิทธิที่จะข้ามการทำกิจกรรมในส่วนที่มีความรู้ได้ หรือผู้ออกแบบอาจออกแบบเฉพาะให้ผู้เรียนทำเฉพาะกิจกรรมโดยไม่ต้องศึกษาเนื้อหาก็ได้ 

นอกจากรูปแบบบทเรียนแบบสาขาภาพบนแล้ว บทเรียนสาขายังมีรูปแบบชนิดเลือกเรียนรู้ในบางสาระเนื้อหา โดยอิสระได้อีกด้วย เหมาะสำหรับการเรียนรู้เฉพาะเรื่อง ที่ไม่ต้องมีการวัดผล ประเมินผล ผู้เรียนจะศึกษาเฉพาะเนื้อหาที่สนใจ เหมาะสำหรับกระบวนการศึกษาตามอัธยาศัย


3. บทเรียนสำเร็จรูปแบบผสม (combination program) 
เป็นบทเรียนสำเร็จรูปที่มีรูปแบบผสมผสานทั้งแบบการเรียนรู้เรียงไปตามลำดับ และการเรียนรู้แบบแยกสาขา ซึ่งกลไกก็จะนำลักษณะทั้งสองแบบมาผสมผสานกัน ทั้งนี้ผู้ออกแบบจะพิจารณาลักษณะของเนื้อหาเป็นเกณฑ์ หากส่วนใด จำเป็นต้องมีลำดับการเรียนรู้เป็นขั้น เป็นตอนก็จะใช้รูปแบบเส้นตรงมาใช้ในส่วนของเนื้อหานั้นๆ


องค์ประกอบและการพัฒนาคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
การสร้างสื่อการเรียนการสอนด้วยคอมพิวเตอร์ หรือ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน เป็นกระบวนการเรียนการสอน โดยใช้สื่อคอมพิวเตอร์เป็นสื่อกลางในการนำเสนอเนื้อหาสาระ ที่เสมือนเป็น ตัวแทนของครู ดังนั้นในการออกแบบเพื่อสร้างสื่อ ครูผู้สอน หรือผู้มีประสบการณ์ในเนื้อหาวิชานั้นๆ เป็นผู้มีส่วนร่วม หรือผู้ดำเนินการ ซึ่งควรมีองค์ประกอบที่สำคัญ ดังนี้
1. การนำเสนอเนื้อหา ต้องมีปริมาณพอดีกับหน้าจอแสดงผล
2. โครงสร้างสภาพแวดล้อม(ปุ่มควบคุม ขนาด สีสันและรูปแบบตัวอักษร) ต้องมีความคงที่ ลักษณะคงเดิมไม่เคลื่อนย้ายไปมา
3. สื่อที่สร้างต้องมีความเป็นมัลติมีเดีย เพื่อเร้าในการเรียนรู้ ได้แก่ เนื้อหา ภาพนิ่ง คำถาม ภาพเคลื่อนไหว
4. มีการประเมินผลการเรียนรู้ผู้เรียนโดยทันที ได้แก่ การตัดสิน คำตอบ
5. ให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อการเสริมแรง ได้แก่ การให้รางวัลหรือคะแนน
6. ผู้เรียนสามารถเข้าถึง เลือกทบทวนบทเรียน ได้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา


วิธีการเรียนรู้
แม้ว่า CAI เป็นวิธีการเรียนการสอน ในรูปของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ช่วยครูสอน แต่ไม่ได้หมายความว่า CAI นี้ จะสามารถทำหน้าที่แทนครูได้ทั้งหมด ครูยังจำเป็นที่ต้องคอยแนะนำ สรุปผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ที่สำคัญ ครูต้องมีส่วนในการพัฒนา จัดสร้างสื่อ CAI ทั้งในขั้นการออกแบบ การเตรียมเนื้อหา เพี่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ ของการเรียนรู้ในเนื้อหานั้นๆ 

ในการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนหรือ CAI เป็นอีกวิธีการเรียนรู้ ที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ได้ศึกษาเรียนรู้ หรือแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ซึ่งโดยธรรมชาติของ CAI นี้ มาจากหลักการที่มีการส่งผ่านปริมาณเนื้อหาที่ละส่วน มีกิจกรรมหลากหลาย ที่สามารถตรึงพฤติกรรมต่อการเรียนรู้ มีกระบวนการย้อนกลับเพื่อแสดงผลสัมฤทธิ์ หรือความก้าวหน้าในการเรียนรู้ 
และเนื่องจาก CAI เป็นวิธีการที่วางอยู่บนสื่อที่ให้ศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเอง ผู้สร้างบทเรียน จะต้องมีส่วนแนะนำการใช้บทเรียน มีส่วนช่วยเหลือที่สามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลา ซึ่งต้องมาจากการออกแบบในการเข้าถึงควบคุมกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยคอมพิวเตอร์ช่วยสอนนี้ จะทำหน้าที่จัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ มีความเป็นมิตร

ซึ่งผู้ออกแบบจะต้อง มุ่งให้ผู้เรียนมากกว่าผู้สอนผู้ออกแบบบทเรียนสำเร็จรูป และผู้สอนจึงต้องจัดสภาพการเรียนให้ผู้เรียน ได้บรรลุจุดมุ่งหมายตามที่วางไว้ ก่อนอื่นผู้สอนควรได้คุ้นเคยกับการใช้บทเรียนสำเร็จรูปเป็นอย่างดี และบูรณาการบทเรียนสำเร็จรูปเข้ากับกิจกรรมการเรียนการสอนแบบอื่น เช่น การบรรยายหรือการอภิปรายได้ เป็นต้น
ก่อนเริ่มเรียนด้วยบทเรียนสำเร็จรูปครั้งแรก ผู้สอนควรอธิบายให้ผู้เรียนเข้าใจถึงวิธีการใช้บทเรียนสำเร็จรูป เช่น เขียนคำตอบไว้ในเล่มหรือแยกต่างหากในกระดาษเขียนคำตอบและควรอธิบายให้ผู้เรียนทราบว่า คำถามในบทเรียนนั้นไม่ใช่ข้อทดสอบ ดังนั้นผู้เรียนไม่ควรกลัวว่าจะตอบผิด เพราะไม่เกี่ยวกับการให้คะแนน หรือ ให้เกรดแต่อย่างใดถ้าผู้เรียนตอบผิดโปรแกรมก็จะช่วยให้คำตอบที่ถูกต้อง บทเรียนสำเร็จรูปนั้นมีไว้เพื่อการเรียนไม่ใช่เพื่อการสอน ผู้เรียนควรได้เรียนไปได้ช้าหรือเร็วตามความสามารถของตนเอง ไม่ควรจะเร่งรัดหรือถ่วงให้ช้าโดยผู้สอนควรกระตุ้นให้ผู้เรียนได้ถาม เมื่อมีข้อสงสัยอาจเกิดจากความกำกวมหรือผิดพลาดของบทเรียน ซึ่งเป็นประโยชน์ในการแก้ไขบทเรียนให้ดีขึ้นไป
อีกประการหนึ่งควรมีการย้ำให้ผู้เรียนตระหนักถึงความซื่อสัตย์ต่อตนเองโดยไม่แอบดูคำตอบก่อน ควรได้คิดหรือตอบคำถามด้วยตนเองก่อนที่จะดูคำตอบ การแอบดูคำตอบก่อนจะทำให้ผู้เรียนไม่ได้อะไรจากการใช้บทเรียนสำเร็จรูปเพราะผู้เรียนจะเสียโอกาสในการเรียนไป


บทสรุป


แม้ว่าบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนหรือ CAI ที่มีทั้งรูปแบบเต็มเนื้อหาหลักสูตร หรือเนื้อหาเฉพาะบางเรื่องของหลักสูตร ที่ได้ผ่านยุคเฟื่องฟูมาหลายช่วงปี และมีกระแสเกาะติดในวงการศึกษาไทยมาอย่างยาวนาน ช่วงหลังสุด ปี 2549-2551 เป็นอีกช่วงระยะเวลาหนึ่งที่กระแสของ CAI เป็นที่นิยมสูงสุด เห็นได้จากวงการธุรกิจทำสื่อการสอนด้านโปรแกรม ซึ่งช่วงเวลา 2-3 ปีนั้น CAI ที่ทำจากโปรแกรม Flash ผสมควบคู่กับโปรแกรมจับหน้าจอ เป็นยุคที่เฟื่องฟูมากๆ แต่ในวงการศึกษา ด้านสื่อการเรียนการสอนจริงๆ โดยเฉพาะ Authorware และ Flash กับค่อยๆจางหายไป อันอาจจะมาจากสาเหตุความยากของตัวโปรแกรม ซึ่งปัจจุบันแม้ว่าจะมีโปรแกรมใหม่ๆ มาทดแทน อาทิ Captivate ก็ดูเหมือนว่าครู ยังไม่สามารถเข้าถึงแก่นแท้ของโปรแกรมนี้เท่าใดนัก แต่เชื่อได้ว่า คอมพิวเตอร์ช่วยสอนอาจจะยังไม่ตายไปจริงๆ สื่อในลักษณะคอมพิวเตอร์ช่วยสอนรูปแบบใหม่ ที่มีเนื้อหาเฉพาะเรื่องสั้นๆ ใช้เวลาสร้างไม่นาน ที่ชื่อว่า Learning Object จะเข้ามาแทนที่ และถึงเวลานั้นคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบเต็มหลักสูตร อาจกลับมาอีกครั้ง
ที่มา : http://mediathailand.blogspot.com/2012/04/blog-post.html

วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เตือน!! 6 โปรแกรมอันตราย ที่ไม่ควรติดตั้งบนคอมพิวเตอร์

เตือน!! 6 โปรแกรมอันตราย ที่ไม่ควรติดตั้งบนคอมพิวเตอร์



6 โปรแกรมอันตราย อัพเดทข่าวไอทีกับ 1000TIPsIT เมื่อไม่นานมานี้ทางรัฐบาลญี่ปุ่นได้มีประกาศเตือนถึงประชาชน เรื่อง โปรแกรมอันตราย ที่ไม่ควรหามาติดตั้ง ซึ่งเป็นผลต่อยอดมาจากโปรแกรม Baidu IME ที่เป็นปัญหาไปเมื่อช่วงต้นปี 2014 โดย Baidu บริษัทโปรแกรมของจีน ได้เข้ามาเปิดสาขาในญี่ปุ่นและได้ปล่อยใช้งานโปรแกรมและแอพฯ สำหรับคอมพิวเตอร์และมือถือ
ซึ่งทางรัฐบาลญี่ปุ่นพบว่าโปแกรมเหล่านี้ มีการ Spy ข้อมูลการใช้งานของยูสเซอร์ และส่งไปยังกลุ่มเมฆเก็บข้อมูล ที่อยู่ในประเทศจีน อันเป็นการละเมิดสิทธิ เพราะข้อมูลที่ Baidu ทำการ Spy ได้นั้น ไม่ได้มีเฉพาะข้อมูลการใช้งาน แต่มันยังรู้ไปข้อมูลส่วนตัวและรหัสผ่านต่างๆของคนนั้นๆ
นอกเหนือจาก Baidu IME แล้ว ทางรัฐบาลญี่ปุ่นยังแจ้งเตือนประชาชน ถึง 6 โปรแกรมอันตราย ที่ไม่ควรติดตั้ง ทั้งในคอมพิวเตอร์และมือถือ เรามาดูกันว่ามีโปรแกรมอะไรบ้าง ส่วนมากก็มาจาก Baidu ทั้งนั้น

6 โปรแกรมอันตราย ที่ไม่ควรติดตั้งบนคอมพิวเตอร์

1. Baidu PC faster

Baidu PC faster ทุกรุ่น เชื่อว่าชาวคอมพิวเตอร์ทั้งหมดคงไม่มีใครไม่รู้จักเจ้าโปรแกรมตัวนี้ในยุคนี้ มันคือโปรแกรมป้องกันไวรัสฟรี และยังช่วยเพิ่มความเร็วในการทำงานของคอมพิวเตอร์คุณด้วย ทว่ามันทำงานมากเกินไปจากที่ควรจะเป็น มันจะแอบติดตั้งโปรแกรมที่เราไม่ต้องการ และยังลบโปรแกรมหรือรีจิสเตอร์ที่จำเป็นออก จนทำให้รีจิสเตอร์และโปรแกรมอื่นๆในเครื่องรวน สุดท้ายก็ต้องลงวินโดว์ใหม่

2. Baidu Spark Browser

Baidu Spark Browser โปรแกรมเล่นเน็ตของ Baidu ที่ยังคงแสบไม่แพ้โปรแกรมป้องกันไวรัส ถ้ามองดูเฉพาะฟีเจอร์ของมันแล้วก็ดูน่าสนใจดี แต่อันตรายของมันก็ยังเหมือนเดิมครับ คือมันเป็น Spyware ที่ดักของมูลการใช้งานของยูสเซอร์ส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่ประเทศจีน

3. Baidu PC App Store

Baidu pc app store โปรแกรมร้านรวมของสรรพสิ่งใน PC ทุกอย่างที่คุณต้องการ เพียงหาในโปรแกรมนี้ เพียงคุณบอกมันว่าอยากได้โปรแกรมอะไร มันก็จะค้นหามาให้คุณได้ แต่ในความสะดวกนั้นคุณก็ต้องแลกกับการที่มันทำตัวเป็นมัลแวร์ เกาะติดคอยล้วงข้อมูลและแทกแซงเครื่องคุณอยู่ตลอดเวลา

4. AppsHat

AppsHat
AppsHat คราวนี้ไม่ใช่ของ Baidu แล้ว มันเป็นโปรแกรมฟรีของ Somoto ที่ช่วยคุณหา Android Apps ที่ต้องการได้ง่ายขึ้น แต่มันเป็นไวรัสชนิด Adware ชนิดหนึ่งที่จะคอยส่งโฆษณาสุดน่ารำคาญมาให้คุณดูเรื่อยๆ แถมลบมันออกไม่ง่ายด้วยนะ

5. Hao123

Hao123 อันนี้แม้ไม่ใช่ชื่อ Baidu แต่มันก็เป็นของเครือ Baidu เหมือนกัน เจ้าตัวนี้จริงๆแล้วมันเป็นชื่อเว็บไซต์หนึ่ง ที่รวมลิงค์เว็บต่างๆเอาไว้ด้วยกันในเว็บเดียว เพื่อให้คุณท่องเว็บได้สะดวก เพียงเข้าหน้านี้ก็มีลิงค์เว็บต่างๆให้เลือกเยอะ แต่ก็เต็มไปด้วยโฆษณาจำนวนมาก และมันแอบแฝงเป็นไวรัสบังคับให้ตั้งหน้าเว็บมันเป็นโฮมเพจ ในโปรแกรมเล่นเน็ตของเราด้วยนะ แน่นอนว่าลบออกยากด้วย

6. 555.in.th

555.in.th เว็บรวมสารพัดลิงค์ ที่คล้ายๆกับ Hao123 แต่อันนี้ของไทยเราเอง มันเป็นไวรัสตัวหนึ่งที่จะมาบังคับใช้เราตั้งมันเป็นหน้าแรกโฮมเพจของโปรแกรมเล่นเน็ตที่เราใช้ และสร้างความรำคาญให้เรามาก หากเราไม่ต้องการจะใช้มัน แถมยังลบออกยากด้วยเช่นกัน
สรุปสาเหตุที่ญี่ปุ่นแบนโปรแกรมดังกล่าวนี้ ก็เพราะมันทำงานเหมือนเป็นไวรัสที่ละเมิดสิทธิ์ของผู้ใช้นั่นเอง ซึ่งมีหลายลักษณะ ทั้ง Malware, Adware, Spyware ก็แนะนำว่าไม่ควรหาโปรแกรมเหล่านี้มาใช้กันจะดีกว่าครับ เพราะมันอาจเป็นต้นเหตุที่ทำให้เราโดนแฮกข้อมูลได้นะ ตามรายงานที่ว่าไทยเป็นประเทศที่โดนแฮกมากเป็นอันดับ 2 ของโลก เพราะมีคนใช้โปรแกรมเหล่านี้อยู่ถึงสามล้านคน
ที่มา :http://www.1000tipsit.com/6-dangerous-programs-should-not-be-installed-on-the-computer/

วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เทคโนโลยีในอนาคต

10 แนวคิดเทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือในอนาคต (ConceptPhone)

 

1.Oho-idea สำหรับแนวคิดแปลกใหม่น่าสนใจของเทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือในอนาคตหรือ Concept Phone ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตล้ำสมัย ฟังก์ชั่นการทำงานหลากหลาย ไม่ยึดติดกับรูปร่างลักษณะแบบเดิมๆ ของโทรศัพท์มือถือในปัจจุบัน มาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น ตอบสนองผู้ใช้งานและเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีใน อนาคตWeather Cell Phone Concept : แนวคิดเพื่อบอกสภาพดินฟ้าอากาศแนวคิดมือถือ โทรศัพท์มือถือบอกสภาพดินฟ้าอากาศ (Weather Cell Phone Concept) มีแนวคิดและจุดเด่นตรงตัวเครื่องทำจากวัสดุ โปร่งใส ขนาดบางเฉียบ หน้าจอสามารถแสดงผลได้เต็มพื้นที่ตัวเครื่อง ใช้ระบบสัมผัสในการควบคุมการทำงาน สามารถตรวจวัดสภาพอากาศในปัจจุบันแล้วแสดงผลบนตัวเครื่องได้ อย่างเช่น อากาศปลอดโปร่ง หน้าจอจะใสแจ๋ว หากฝนตกตัวเครื่องก็จะมีหยดน้ำฝนเกาะอยู่และถ้ามีหิมะตกหน้าจอก็จะเป็นฝ้าด้วยไอความเย็นของหิมะ และหากต้องการโทรออกหรือเขียนข้อความ เพียงแค่ใช้ปากเป่าลมไปยังหน้าจอ ก็สามารถเขียนตัวอักษรหรือวาดรูปต่างๆ ลงไปได้เลย
ผลงานการออกแบบของ Seunghan Song 








2.  Mobile script Concept : แนวคิดหน้าจอระบบ สัมผัสที่สามารถดึงเข้า-ออกโดย แนวคิดโทรศัพท์มือถือร่วมสมัย เพื่อต้องการความคล่องตัวในการใช้งาน ด้วยหน้าจอระบบสัมผัสขนาดใหญ่ 9.5 นิ้วที่สามารถดึง เข้า-ออกจากตัวเครื่องด้านข้างได้ หรือที่เรียกว่า "Script Concept" ซึ่งเหมือนวิธีการ ส่งสาร จดหมายสมัยโบราณ ที่ส่งเป็นลักษณะม้วนกระดาษ นับว่าเป็นแนวคิดที่ดี ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในสมัยใหม่ได้ดีทีเดียว
ผลงานการออกแบบของ Aleksander Mukomelov
  


   
3.Projector Cell Phone Conceptแนวคิดมือถือติดโปรเจคเตอร์แนวคิดมือถือโทรศัพท์มือถือที่ต้องการเป็นมากกว่ามือถือธรรมดา เป็นแนวคิดสมาร์ทโฟนขนาดบางเฉียบ ติดโปรเจคเตอร์หรือเครื่องฉายภาพ (Projector Concept) ไว้ ตรงกลางของตัวเครื่องรอยต่อระหว่างจอแสดงผลที่สามารถหมุนขึ้นได้กับแผงปุ่ม กด ผู้ใช้สามารถส่งภาพในโทรศัพท์ออกไปยังฉากหรือผนังเพื่อรับชมภาพในขนาดใหญ่ ได้
ผลงานการออกแบบของ Stefano Casanova
  





4.Alarm Clock Cell Phone Conceptแนวคิดมือถือกับนาฬิกาปลุกตั้งโต๊ะ
แนวคิดโทรศัพท์มือถือนาฬิกาปลุกตั้งโต๊ะ Sony Ericsson รูปทรงคล้ายนาฬิกาปลุกตั้งโต๊ะ มองเห็นเวลาชัดเจนด้วยรูปแบบนาฬิกาดิจิตอลขนาดใหญ่ มีเครื่องเล่น Walkman, ติดกล้องถ่ายรูป และใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ขนาด AAA 2 ก้อน
ผลงานการออกแบบของ Carl Hagerling
  




5.  Pen Cell Phone Conceptแนวคิดโทรศัพท์มือ ถือรูปทรงปากกาแนวคิดโทรศัพท์มือถือรูปทรงปากกา ความยาว 8.7 นิ้ว ปุ่มกดตัวเลข 1-9 เรียงจากหัวปากกาไป ด้านบน ถัดไปเป็นจอแสดงผล รองรับการ์ดหน่วยความจำภายนอก MicroSD ภายในประกอบด้วย ฟังก์ชั่นพื้นฐานเหมือนโทรศัพท์ทั่วไป เพียงแต่ว่าง่ายต่อการพกพาสะดวกกว่าเท่านั้น
  



6.  Edge Cell Phone Concept: แนวคิดโทรศัพท์มือถือรูปทรงสไลด์หรู
แนวคิดโทรศัพท์มือถือรูปทรงสไลด์ ที่มีแผงปุ่มกดทำจากวัสดุโปร่งใส ขนาดบาง ใช้ระบบสัมผัส เมื่อเราต้องการกดหมายเลขก็เพียงเลื่อนสไลด์แผงปุ่มที่ใสๆ ออกมาเท่านั้นเอง
ผลงานการออกแบบของ Chris Owens
  
7.  Grass Cell Phone Conceptแนวคิดโทรศัพท์มือ ถือต้นหญ้าแนวคิดโทรศัพท์มือถือต้นหญ้าหรือ Grass Cell Phone มาจากแนวคิดเนื่องด้วยธรรมชาติสร้างสรรค์ เทคโนโลยีให้ควบคู่กันไปได้อย่างลงตัว จึงไม่เป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม เพราะมือถือต้นหญ้าเครื่องนี้ก็จะค่อยๆ ย่อยสลายตัวเองไปตามกาลเวลาภายในระยะเวลา 2 ปี เพราะว่าวัสดุที่ใช้ทำเป็นวัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้นั่นเอง
ผลงานการออกแบบของ Je-Hyun Kim
  



8.  Mechanical Cell Phone Conceptแนวคิดโทรศัพท์มือ ถือพลังงานกล
แนวคิดโทรศัพท์มือถือพลังงานจากกลไกการหมุนตัว เครื่อง ด้วยการใช้นิ้วสวมลงไปในรูวงกลมแล้วหมุนโทรศัพท์ไปรอบๆ นิ้วมือ เพียงแค่นี้โทรศัพท์มือถือเครื่องนี้ก็มีพลังงานเพิ่มขึ้นพร้อมด้วยหน้า จอแสดงผลระบบสัมผัสบอกสถานะการชาร์จ
ผลงานการออกแบบของ Mikhail Stawsky




9.  Flexible Cell Phone Conceptแนวคิดโทรศัพท์มือ ถือกำไลข้อมืแนวคิดโทรศัพท์มือถือกำไลข้อมือ หรือนาฬิกา โดยตัวเครื่องทำมาจากวัสดุที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถโค้งงอ ยึดปลายทั้งสองเข้าหากัน ใช้เป็นกำไลข้อมือ พกพาไปไหนได้สะดวกมากขึ้น
ผลงานการอกแบบของ Shirley A. Roberts

10.  Ear Cell Phone Conceptแนวคิดโทรศัพท์มือ ถือหูฟังล่องหนแนวคิดโทรศัพท์มือถือหูฟังล่องหนหรือที่เรียก ว่า "Ilshat Garipov" ออกแบบให้มีขนาดบาง เฉียบ มีลักษณะคล้ายคลิปหนีบ ดึงส่วนยื่นออกมาเกี่ยวกับช่องหู คล้ายหูฟัง วัสดุประกอบตัวเครื่องแต่ละชั้นใช้โพลิเมอร์สอดแทรกด้วยชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และเซ็นเซอร์จำนวนมากสามารถตรวจจับผิวหน้าสัมผัสกับตัวเครื่องเปลี่ยนสีพื้น ผิวโทรศัพท์ให้เหมือนกับบริเวณที่ส่วมใสอยู่ ดูผ่านๆ แล้วเหมือนกับโทรศัพท์ล่องหนได้
ผลงานการอกแบบของ Kambala
ที่มา : http://netilukandapinun.blogspot.com/